วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใบงานที่ ๙

ผู้บริหารมืออาชีพ ควรเป็น
1. ความหมายลักษณะการเป็นมืออาชีพ หมายถึง การทำงานด้วยความรู้ความสามารถ ความตั้งใจจริงและทำงานให้เกิดผลงานดีที่สุด มืออาชีพจะมีลักษณะ ดังนี้
        1) มีการให้บริการสังคมไม่ซ้ำซ้อนกับวิชาชีพอื่นนั้นคือ มีความรู้ความชำนาญพิเศษเฉพาะอาชีพนั้นๆ
       2) ใช้วิธีการแห่งปัญญา มืออาชีพทำงานโดยใช้สมองเป็นหลัก ใช้ความรู้เป็นหลักในการทำงาน
       3) มีอิสระในการดำเนินงาน มืออาชีพมีสิทธิ์จะทำงานของตนเองโดยอิสระ รับผิดชอบได้โดยไม่ต้องมีการควบคุมผู้อื่นมากนัก ทำงานเพื่อให้เกิดผลงานเป็นหลัก
       4) ผู้ประกอบวิชาชีพผ่านการศึกษาระดับสูงโดยปกติมืออาชีพต้องเรียนนานมักจบปริญญาตรีอย่างต่ำ
       5) มีจรรยาบรรณของวิชาชีพ มืออาชีพต้องรักษาความรับผิดชอบและจริยธรรมของอาชีพของตนอย่างเคร่งครัด
6) มีความมั่นคง มีสถาบันวิชาชีพ มืออาชีพมักทำงานแล้วได้รายได้ดี มีรายได้สูงมีศักดิ์ศรีในสังคม

2. คุณลักษณะของการเป็นมืออาชีพ ผู้ประกอบอาชีพมืออาชีพต้องมีแนวปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนี้
      1) ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน ตรงต่อเวลา
      2) เป็นคนเก่ง เป็นคนดี มีความกล้าหาญ รับผิดชอบ ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
      3) สุภาพ ตรงต่อเวลา ละเอียดลออ รู้จักแสวงหากัลยาณมิตร
      4) ใช้คุณธรรมเป็นเครื่องชี้นำอาชีพ 5) ฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

3. นักบริหารมืออาชีพ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารงาน กิจการต่างๆให้สำเร็จ โดยอาศัยความรู้ความสามารถของตนเองและความร่วมมือของผู้อื่น ลักษณะเด่นของผู้บริหารมืออาชีพมีดังนี้
      1) มีความรอบรู้ทันต่อเหตุการณ์
      2) มีการตัดสินใจที่ดี รวดเร็ว แม่นยำและถูกต้อง
      3) สามารถจับประเด็นได้รวดเร็ว ออกความเห็นได้ทันการ
      4) สามารถเลือกใช้คนได้เหมาะสมกับงาน
      5) ยอมรับการเปลี่ยนแปลงพร้อมที่จะปรับตัว
      6) มีระเบียบ ละเอียดรอบคอบ เคร่งครัดเรื่องเวลา
      7) ซื่อสัตย์มีคุณธรรม ยึดมั่นในจรรยาวิชาชีพ
      8) เชื่อมั่นในตนเอง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถประสานงานได้เยี่ยม

4. คุณลักษณะของนักบริหารมืออาชีพ
      4.1 นักบริหารมืออาชีพต้องมีคุณลักษณะภายในตนที่สามารถปลูกฝังและฝึกได้หลายประการ ดังต่อไปนี้
            1) มีวิสัยทัศน์ มีสายตาที่ยาวไกล ก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
            2) ตรงไปตรงมา มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูงสุด
            3) ทำงานโดยมุ่งผลสำเร็จมากกว่ามุ่งกระบวนการ
            4) มองปัญหาชัดใช้ปัญญาในการการแก้ปัญหาและกล้าตัดสินใจ
            5) เป็นผู้มีศิลปในการประนีประนอม 6) การทำงานเป็นทีม
     4.2 ต้องมีความเป็นผู้นำ โดยคุณสมบัติผู้นำที่ดีควรมี ดังนี้
             1. เป็นผู้มีความคิดกว้างไกลและลึก
             2. มีความสามารถในด้านการใช้ภาษา
             3 มีความคิดริเริ่ม
             4. เป็นคนที่ฉลาด
             5. มีความสำเร็จในด้านวิชาการและด้านบริหาร



6. มีความรับผิดชอบ 7. ความอดทน 8. ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสังคมได้



9. มีระดับจิตใจสูง



4.3 คุณลักษณะของการเป็นผู้นำตามแนวคิดของนักวิชาการชาวไทย



1. ลักษณะท่าทาง 2. ความกล้าหาญ 3. ความเด็ดขาด



4. ความไว้วางใจ 5. ความอดทน 6. ความกระตือรือร้น



7. ความริเริ่ม 8. ความซื่อสัตย์ 9. ดุลยพินิจ



10. ความยุติธรรม 11.ความรู้ 12. ความจงรักภักดี



13.ความแนบเนียน 14. ความไม่เห็นแก่ตัว



5. ลักษณะเด่นของผู้บริหารคนสำคัญที่ประสบผลสำเร็จ เช่น



5.1 นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี มีคุณลักษณะเด่นคือ



1) มีวิสัยทัศน์ (Vision) 2) ตรงไปตรงมา ( Frankness) 3) ทำงานโดยมุ่งสู่ผล 4) กล้าตัดสินใจ 5) ประนีประนอม 6) สปิริตแห่งการทำงานเป็นทีม



7) ภาวะผู้นำ 8) โปร่งใส 9) มียุทธวิธี



5.2 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคุณลักษณะและอุปนิสัยดังนี้



คุณลักษณะ 1) มีความกล้า 2) มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง



3) มีความทะเยอทะยาน 4) มีมนุษยสัมพันธ์ดี



5) มีความมุ่งมั่น 6) มีสติเฉลียวฉลาด



แนวดำเนินชีวิต 1) ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก 2) ใช้ชีวิตสมถะ



3) สู้ชีวิตด้วยการลงมือทำ 4)การบริหารยึดวิสัยทัศน์



5) เชื่อว่าการเมืองในระบบเท่านั้นคือการเมืองที่ถูกต้องที่สุด



5.3 นพ. กระแส ชนะวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีเบื้องหลังที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือ



1) ได้รับแนวคิดพัฒนาจากนักพัฒนาชาวอเมริกาเชื้อสายจีน



2) ได้รับอิทธิพลการพัฒนาแบบญี่ปุ่น 3) เน้นการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน



4) เน้นเรื่องภาวะผู้นำ 5) ให้ความสามารถต่อสตรีในการพัฒนา



6. หลักการแนวคิดในการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารราชการและเอกชนมืออาชีพ



6.1 ดร. จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึง ผู้บริหารมืออาชีพ ต้องมีพื้นฐานด้านบุคลิกภาพ ท่านควรรู้จักสไตล์ หรือลีลาที่เป็นเอกลักษณ์ของท่าน ท่านจึงควรเริ่มต้นจากการค้นหาตัวตนของท่านเสียก่อนว่าท่านเป็นคน อย่างไร มาทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับบุคลิกภาพเพื่อค้นให้พบตนเอง บุคลิกดีนำสู่ความสำเร็จ บุคลิกดีเป็นใบเบิกทางให้ท่านไปสู่เป้าหมายความสำเร็จ

ความสำเร็จ = ดี + เก่ง + จังหวะ แม้ท่านจะมีบุคลิกดีเพียงใด ก็โปรดเข้าใจสัจธรรมของชีวิต นั่นคือความสำเร็จมิใช่สูตรสำเร็จ มีหลายปัจจัยประกอบกัน ท่านต้องใช้คุณลักษณะและคุณสมบัติหลายประการ บุคลิกภาพของผู้บริหารที่คนยอมรับต้องมีคุณลักษณะเด่นดังนี้

1. การมีบุคลิกภาพที่ดี มีรูปร่าง หน้าตา ท่าทางที่ดูสง่างาม

2. การมีอุปนิสัยที่น่าเชื่อถือ แสดงกิริยาท่าทีที่ไว้ใจได้ น่าศรัทธาเลื่อมใส

3. พฤติกรรมดีมีความประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรม รู้ชอบชั่วดี

4. ทำงานดีและมีภาวะผู้นำ กล้าหาญทำการใหญ่

6.2 ปรัชญาบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร

1. จุดยืนใหม่ของประเทศไทย ได้แก่ความเชื่อมั่นในการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย ที่มีอุดมการณ์ โดยอาศัย ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

2 กระบวนการทำงาน การทำงานต้องปรับโครงสร้าง องค์กรให้เล็กคล่องตัว โดยสร้างวัฒนธรรมขององค์กรและวัฒนธรรมของการทำงานเป็นหมู่คณะทำงาน การบริหารอย่างบูรณาการซึ่งใช้สหวิทยาการอย่างกลมกลืน รวมทั้งต้องปรับกระบวนการรายงานทุกลำดับชั้น ( Matrix Report)

3. การแข่งขันในเวทีโลก ทำให้ต้องปรับองค์กรและคนทำงานให้รู้จักเรียนรู้สิ่งใหม่ ต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เริ่มจากการทำงานจากการสร้างฐานข้อมูล แล้วสังเคราะห์ประสบการณ์จนเกิดเป็นองค์ความรู้ ซึ่งต่อมาเกิดเป็นปัญญารู้แจ้งมองทะลุถึงแก่นจนนำไปใช้งานได้จริง (Information - -> Knowledge - -> Wisdom )

4. ภาวะผู้นำ ผู้บริหารต้องมี มีวิสัยทัศน์ รู้จักมองการไกล เป็นนักสื่อสารที่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ได้ยอดเยี่ยม เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ พูดจริงทำจริง กล้าได้กล้าเสียกล้าคิดการใหญ่ กล้าเปลี่ยนแปลง แม้มีผู้คัดค้าน กล้าคิดใหม่ทำใหม่ให้แตกต่างไปจากความเคยชินเดิม และต้องทำด้วยความรวดเร็ว แข่งกับเวลา

5. นโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีหลักการสำคัญคือ การลดรายจ่าย การเพิ่มรายได้ การ ขยายโอกาส และการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

6.3 Prof. Dipak C.Jain คณบดีวิทยาลัยการจัดการ Kellogg และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เสนอแนวคิดไว้ดังนี้

1. การบริหารคือการขับเคลื่อนโดยใช้กลไกตลาด ผู้บริหารต้องเข้าใจว่าลูกค้าคือใคร/ ใครคือคู่แข่ง/ เราเก่งอะไร/ เราจะขายอะไร

2. ต้องสร้างภาพลักษณ์และกำหนดจุดยืนในตลาด เช่น มีคุณลักษณะเฉพาะ และคุณภาพเทียบได้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล

3. บุคลิกนักบริหาร ผู้จะก้าวหน้าในอันดับหัวแถวต้องสร้างคุณลักษณะพิเศษ ได้แก่

คิดใหญ่ฝันใหญ่ ต้องการสร้างชิ้นงานหรือโครงการที่สำคัญ ใช้สัญชาติญาณ ใช้ข้อมูล ใช้องค์ความรู้จนสามารถสร้างชิ้นงาน หรือนวัตกรรมใหม่ ขับเคลื่อนความฝันอย่างมีเป้าหมาย มีทิศทางที่มีโอกาสสู่ความสำเร็จ มีกลยุทธ และ มีมิติวัดผลสำเร็จ ทำงานอย่างมีกระบวนการวางแผนรัดกุมรอบคอบ ทำงานไปแล้วติดตามวัดผลสำเร็จได้

สร้างทีมร่วมผลักดัน รู้จักทำเป็นแบบอย่าง ใช้ขีดความสามารถของแต่ละคนมาร่วมกันสร้างสรรค์งานใหญ่ โดยผู้บริหารมาร่วมคิดช่วย ชี้แนะ เป็นต้นแบบของการทำงานหนักเอาเบาสู้ สร้างแรงจูงใจ รวมทั้งการ มอบอำนาจ ผู้บริหารต้อง ให้กำลังใจสร้างขวัญในการทำงานและรู้จักกระจายอำนาจความรับผิดชอบให้ผู้บริหารระดับรองลงไป ช่วยแบ่งเบางานที่ต้องตัดสินใจ

4. การนำการเปลี่ยนแปลงของนักบริหาร คือการจัดการภารกิจเหล่านี้ให้เกิดผลดีการ คิดเชิงธุรกิจ (โอกาส + กำไร) คำนึงถึงความคุ้มทุนและคุ้มค่า โดยเฉพาะการทำงานราชการมักไม่คำนวณต้นทุนเนื่องจากเป็นงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมาให้ ทัศนคติเชิงบวก มองวิกฤติให้เป็นโอกาส แม้เผชิญปัญหาอุปสรรคก็มิได้ย่อท้อ ความสามารถนำทีม นำคณะไปสู่การสร้างความสำเร็จการ ทำงานเชิงรุก บุกเข้าไปไม่ท้อถอย ป้องกันก่อนเกิดปัญหาจริง การสร้างวัฒนธรรมองค์กร สร้างทีมงานที่แข็งแกร่งรู้จักประสานสมานฉันท์

6.4 William S. Cohen อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาในยุคประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ได้เน้นถึง พลวัตรการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่ผู้บริหารต้องเรียนรู้

1. สร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศลงทุน จะทำให้โอกาสของการทำงานขยายขอบเขตได้ในระดับโลก

2. สร้างความอิสระในการแข่งขัน สร้างบรรยากาศแห่งการวิจัยและพัฒนา ใช้กลไกตลาดขับเคลื่อนให้แข่งทำดี

3. มีกฎกติกามาตรฐานสากล มีกฎหมายคุ้มครองสร้างความเชื่อมั่นในระบบที่เป็นธรรม

4. ใช้หลักการบริการกิจการบ้านเมืองที่ดี มีความ เปิดเผย โปร่งใส และ ตรวจสอบได้

5. ความรับผิดชอบในภารกิจหน้าที่

6.5 Thomas H. Davenport ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงและประธานสาขาวิชาการจัดการข้อมูลสารสนเทศ จาก Babson College ยึดหลักในการจัดการองค์ความรู้ที่ผู้บริหารต้องเรียนรู้

1. ต้องสร้างระบบฐานเศรษฐกิจความรู้ โดยขับเคลื่อนทุกคนในองค์กรให้ทำงานด้วยความรู้จนผลงานเกิดผลผลผลิต

2. ปัจจัยสร้างสังคมฐานเศรษฐกิจความรู้

2.1 ศักยภาพในการสร้างนวัตกรรม ผู้เป็นต้นคิดนำสินค้าหรือบริการออกเผยแพร่ก่อน ย่อมมีโอกาสครอบครองส่วนแบ่งของตลาดได้ก่อนผู้อื่น

2.2 ทรัพยากรบุคคล

2.3 เทคโนโลยีสมัยใหม่รู้จักใช้เครื่องมืออำนวยความสะดวกยุคใหม่

2.4 สร้างสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อเอื้ออำนวยให้เกิด





6.6 ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การบริหารแบบบูรณาการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ว่า

1. ปัจจัยความสามารถในการแข่งขันขององค์กร เกิดจากผู้บริหารต้องสร้างหรือใช้ปัจจัยต่อไปนี้เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จสร้างโอกาสมากกว่าจะรอโอกาสมาถึงก่อนจึงจะลงมือทำ รวมทั้งต้องขจัด ความเหลื่อมล้ำหรือ ความไม่เท่าเทียมความแข็งแกร่งเชิงยุทธศาสตร์ ทำงานอย่างมีชั้นเชิงวางแผนล่วงหน้า มีการลง ทุนทางปัญญา มีงานวิจัย ใช้ นักวิทยาศาสตร์นักวิชาการมาช่วยค้นคิด ความสามารถในการบริหารจัดการ ต้องบริหารอย่างมืออาชีพ

2. บุคลิกนักบริหาร

- เรียนรู้สิ่งใหม่/ รับฟัง/ อ่านตำราใหม่ ๆ ผู้บริหารที่อ่านมากจะรู้มาก ก้าวทันโลกวิทยาการ

- รู้จักเลือกใช้คน ใช้คนให้เหมาะกับความรู้ความสามารถ

- มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ช่วยป้องกันการตัดสินใจที่อาจผิดพลาด

- สื่อสารให้ทีมงานเข้าใจได้ กระจายข้อมูลที่จำเป็นให้ทุกคนรับรู้อย่างทั่งถึงและรวดเร็ว

- สร้างเศรษฐกิจชุมชนไปสู่การแข่งขันตลาดโลกจากการกสร้างเศรษฐกิจในครัวเรือนให้พอมีพอ



เพียง ไปสู่การทำมาค้าขายในระดับท้องถิ่นไปจนถึงก้าวเข้าสู่ตลาดระหว่างประเทศ

- ผู้นำต้องมีผู้ตาม ผู้บริหารต้องสามารถทำงานและกำกับควบคุมให้ผู้อื่นทำงานด้วย

- ผู้นำต้องสร้างคน ต้องสร้างผู้บริหารไว้หลายระดับ มีตัวตายตัวแทนหมุนเวียนให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้า



มาแทนเพื่อตัวเองสามารถก้าวให้สูงขึ้น

- ผู้นำต้องคิดให้ทะลุ มองปัญหาไว้ตั้งแต่การป้องกัน การแก้ไข กระบวนการทำงานทุกขั้นตอน

3.ให้พัฒนาคุณภาพของตัวผู้บริหาร ดังที่เต๋า เต็ก เก็ง เคยเขียนไว้ว่า ผู้นำที่คุณภาพต่ำสุด คือ ผู้นำที่ทุกคนเกลียด ผู้นำที่ดีขึ้นมาบ้าง คือ ผู้นำที่ทุกคนกลัว ผู้นำที่ดีมาก คือ ผู้นำที่ทุกคนรัก ผู้นำที่เก่งที่สุด คือ ผู้นำที่ทุกคนทำตามโดยไม่ต้องบอก

6.7 Prof. Neal Thornberry วิทยากรชาวต่างประเทศอีกผู้หนึ่งได้กล่าวถึง ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่ง มี 4 ขั้นตอน เหมือนห้องในบ้านที่กำลังมีการซ่อมแซม

1. ไม่เห็นด้วยไม่ตอบ ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นไม่ มีปฏิกิริยาต่อต้านj

2. ไม่เห็นด้วยและต่อต้าน ไม่พอใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จึงโต้แย้ง

3. อยากเปลี่ยนแต่ไม่รู้จะทำอะไร พร้อมที่จะให้ความร่วมมือแต่ทำอะไรไม่ถูกเพราะขาดข้อมูลผู้ชี้แนะ

4. ทุกคนเข้าใจยอมเปลี่ยนแปลงและร่วมลงมือ ยินดีปรับตัวช่วยกันด้วยความพอใจ ผู้บริหารที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงต้องเข้าใจขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง และรู้ว่าในขณะนี้องค์กรที่ตนเองเป็นผู้นำอยู่ กำลังอยู่ในสภาพใดของกระบวนการ เพื่อจะได้รับมือได้เหมาะสม

6.8 ศาสตราจารย์ดร. ชัยอนันต์ สมุทวนิช นักบริหารและนักคิด ราชบัณฑิตคนสำคัญได้ ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อผู้บริหารจักได้ใช้กลไกการบริหารในระบบปฏิรูปใหม่ได้ดี

1. ระบบราชการใหม่ได้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างใหม่ของระบบราชการไทย เกิดโครงสร้างใหม่ 20 กระทรวง ตั้งแต่ 3 ตุลาคม 2545ทำให้ส่วนราชการไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบราชการไทย

2. ระบบบริหารจัดการที่ปฏิรูปคือ การจัดการสร้างเครือข่ายนโยบายและการบูรณาการ ผู้บริหารต้องเข้าใจว่าการทำงานของส่วนราชการคือการเป็นผู้นำนโยบายสาธารณะที่เกิดจากฝ่ายการเมืองหรือรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน จากหลายนโยบาย ในหน่วยงานหลายระดับและพื้นที่ ผู้บริหารราชการยุคใหม่จึงต้องเข้าใจวิธีทำงานรูปแบบใหม่ที่ต้องสร้างความเชื่อมโยงหลายเรื่องให้ผสมผสานอย่างพอเหมาะ

3. การบริหารองค์กรแบบเครือข่าย

1) องค์กรทำงานในหลายระดับตั้งแต่ ระดับโลก ภูมิภาค/ อนุภูมิภาค ชาติ/ จังหวัด ไปจนถึงระดับท้องถิ่นหรือ ชุมชน

2) เครือข่ายทำงานมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบปกติ เครือข่ายทางสังคม นวัตกรรม ความรู้ กลยุทธ์ การเรียนรู้ การเมือง และเครือข่ายจิตวิญญาณ

4. ผู้บริหารแบบบูรณาการ ได้แก่ คือการรู้จักผสมระหว่างเทคนิคต่างๆตั้งแต่ การมีบทบาทเป็นผู้นำ การระดมความคิดจากภาคี การพัฒนาทุนทางสังคม และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่าย

6.9 ดร. วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นถึง การปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐ

1. การปฏิรูประบบราชการไทย มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่1การปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐ ขั้นตอนที่2 การปฏิรูปวิธีปฏิบัติราชการ และขั้นตอนที่3การปฏิรูปการจัดการทรัพยากร ซึ่งในปี พศ.2545ถึง2546ได้เข้าสู่ขั้นตอนที่1 และจะได้ขยายผลในขั้นตอนต่อไปในปีพศ.2547

2. การปฏิรูป โครงสร้างภาครัฐ โครงสร้างใหม่ของระบบราชการไทยประกอบด้วยโครงสร้าง 4 ลักษณะ ได้แก่1) กระทรวง กลุ่มภารกิจ กรม2) องค์การมหาชน3) รัฐวิสาหกิจ และ4) หน่วยพิเศษ องค์กรอิสระ

3. วิธีปฏิบัติราชการ แนวทางการทำงานในระบบราชการยุคใหม่ประกอบด้วย

1) การพัฒนาผู้นำ/ การบริหารการเปลี่ยนแปลง คือ ต้องเริ่มจากตัวผู้บริหารทุกระดับต้องพัฒนาตนเองให้เข้าใจการเป็นผู้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีกระบวนการและมีชั้นเชิง โดยใช้

-การกำหนด เป้าหมายขององค์กรและการเปลี่ยนแปลง - มีกุศโลบายมีขั้นตอนของการทำงานที่ดี

-สร้างความคาดหมายความคาดหวังเพื่อให้ทุกคนเกิดกำลังใจ - กำหนดความรับผิดชอบกระจายภาระหน้าที่ซึ่งคำนึงถึงผลที่จะเกิดติดตามมา - กระจายอำนาจ แบ่งงานไปช่วยกันดำเนินการ - จัดสรรงบประมาณที่ประหยัดและเกิดประโยชน์คุ้มค่า

2) การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การบริหารราชการไทยต้องมีหลักการ - คำนึงถึง ประโยชน์สุขแก่ประชาชน - มุ่งผลสัมฤทธิ์ ทำงานมุ่งสู่ผลสำเร็จตามเป้าหมาย - ประเมินผลให้คุณและโทษ - ปรับปรุงประสิทธิภาพหน่วยงาน - บริการการให้สะดวกและเชื้อเชิญ - มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า – ลดขั้นตอนเวลาที่ยาว/ยุ่ง

4. การจัดการทรัพยากร

1)การบริหารงานบุคคล จะไม่เพิ่มอัตรากำลัง จัดระบบบุคลากรพิเศษได้แก่การกำหนดระบบการจ้างงานในตำแหน่งพนักงานราชการ และการปรับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

2)การบริหารจัดการทรัพย์สิน จะใช้มาตรการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน การปรับปรุงสถานที่ทำงานของหน่วยราชการให้เป็นศูนย์ราชการ และปรับวิธีจัดซื้อจัดจ้างรูปแบบใหม่

3)การบริหารจัดการงบประมาณ ปรับปรุงระบบให้เริ่มจากการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ โดยมีเป้าหมายและยุทธศาสตร์ และเปลี่ยนแปลงวิธีการงบประมาณใหม่ตามระเบียบบริหารงบประมาณใหม่ฉบับปีพศ.2546

4) การปรับปรุงงานด้านกฏหมาย ให้คำนึงถึงสถานะทางกฎหมายที่ต้องใช้ในการบริหารราชการ โดยต้องจัดให้ มีแผนนิติบัญญัติ และปรับกฎหมายให้ทันสมัย เนื่องจากมีกฎหมายค้างการพิจารณาหลายฉบับ และต้องร่างกฎหมายใหม่ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

6.10 นายธนินทร์ เจียรวนนท์ นักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จสูงจากการบริหารบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้เล่าประสพการณ์ในการทำงานไว้ดังนี้

1. การบริหารแบบครอบครัวซึ่งเป็นการบริหารงานธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้น ในปัจจุบันก้าวไม่ทันกับการแข่งขันในโลกยุคใหม่ การบริหารยุคนี้ต้องใช้คนเก่งมาช่วย ดังนั้นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์จึงใช้ยุทธศาสตร์ "คนเก่งของโลกเป็นของ ซี.พี."

2. ตลาดยุคใหม่เน้นธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและการบริการ อาชีพชั้นแนวหน้าที่เป็นผลเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ได้แก่ อาชีพทางด้านกฎหมาย การเงิน สุขภาพผู้สูงอายุ ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจการบรรจุภัณฑ์

3. การบริหารจัดการต้องสร้างเครือข่ายการขาย เช่น การซื้อขายผ่าน e-commerce การบริการขนส่งที่สะดวก และต้องวิจัยเพื่อพัฒนาให้ได้สินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการ

4. ผู้บริหารที่ดี ต้องมีคุณลักษณะดังนี้ - มีภาวะผู้นำ - รู้จักใช้คนเก่ง คือ ให้อำนาจ ให้เกียรติ ค่าตอบแทนที่เหมาะสม - ทำงานรวดเร็ว - ลดขั้นตอนมิให้ซับซ้อนยุ่งยาก - หมุนเวียนผู้บริหารทุก 4-8 ปี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรียนรู้งานลักษณะอื่น

6.11 นายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานบริษัทในเครือของธุรกิจกลุ่มชินคอร์ป ได้เปรียบเทียบผู้บริหารในระบบราชการกับระบบธุรกิจมีความแตกต่างที่ผู้บริหารราชการ สามารถนำไปพัฒนาตนเอง ดังนี้

1.ผู้บริหาร เป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงต้องปรับปรุงตนเองให้มีศักยภาพที่เหมาะสม

1.1 วิสัยทัศน์ที่ดี คือ ยืดหยุ่น ตรงกับภารกิจหลัก มุ่งเพื่ออนาคต และท้าทายคนในองค์กร

1.2 ภารกิจ สนองต่อการนำวิสัยทัศน์สู่เป้าหมาย

1.3 ยุทธศาสตร์ รัฐกับธุรกิจแตกต่างกัน

1.4. การบริหารจัดการมี 4 ขั้นตอน 1) กำหนดทิศทาง/ วิสัยทัศน์ 2) กำหนดตัวชี้วัด

3) มีแผนปฏิบัติงานและแผนการเงิน 4) มีการประเมินผลตามข้อตกลงร่วมกัน

1.5. การบริหารจัดการที่ดีใช้ทฤษฎี 7's Model - Structure (โครงสร้าง)



- Shared Vision (วิสัยทัศน์) - Strategy (มียุทธศาสตร์)

- Styles (ลีลาเฉพาะ) - System (ระบบ)

- Staff (ทีม) - Skills (ทักษะ)

1.6. งานของผู้บริหาร

- เป็นทั้ง 5 อย่างในจังหวะ/ เวลาที่เหมาะสม ได้แก่ นายผู้จัดการ ผู้ควบคุม ผู้นำ และ เถ้าแก่

- แก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หน้าที่ของผู้บริหารคือการแก้ปัญหา

- ชั่งน้ำหนักระหว่างของหรือกระบวนการสองสิ่งเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด เช่นการรู้จัก



เลือกระหว่าง - นักคิดกับนักทำ - ส่วนกลางกับท้องถิ่น - นามธรรมกับรูปธรรม

- ปริมาณกับคุณภาพ - โอกาสกับความเสี่ยง



- ศาสตร์กับศิลป์ - กระบวนการกับผลงาน

1.7. สิ่งต้องระวังของผู้บริหาร - คิดว่าตนเองเก่งแล้วไม่ต้องพัฒนา



- ยิ่งผลัก ปฏิกิริยาโต้กลับจะยิ่งแรงและเร็ว



- บางคนกลัวความล้มเหลวจนเกินพอดี











6.12 คุณทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์เปเรชั่น จำกัด เป็นบุตร คนสุดท้อง ( คนที่ 10 : ทศ ) ของตระกูลจิราธิวัฒน์ บริหารงานบริษัทย่อย 9 บริษัท รวมทั้งห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล และบิ๊กซี พนักงาน 28,000 คน รายได้ 40,000 ล้านบาทต่อปี

- ชมชอบวิธีการทำงานของนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร คือ Stepแรก ดึงคนส่วนมากให้มีฐานะ ดีขึ้น และStepต่อมา ดึงเพื่อนบ้านขึ้น

- การทำงานที่สำคัญที่สุดคือทำให้ดีที่สุดและขยายโอกาสให้ได้รับผลประกอบการโตขึ้น 2 เท่าของ



GDP

- หลักการทำงาน : CEO ต้องทำให้บริษัทโตต่อเนื่องมองไป 3 ปี 5ปีข้างหน้าให้คนภูมิใจในบริษัท

- เป้าหมายชัดเจนและเดินสู่เป้าหมาย

- กลยุทธ์ Aggressive : เร็วและรุก

- ปัญหาเป็นเพียงสิ่งท้าทาย (ปัญหาทุกอย่างแก้ได้หมด) ถ้าแก้ไม่ได้ถามเพื่อน

- ข้อมูลไม่มีถูก 100% การตัดสินใจไม่จำเป็นต้องถูก 100% ที่สำคัญที่สุดคือต้องพัฒนาไปให้ต่อเนื่อง

- คนถือว่าเป็นMassที่สำคัญ การบริหารคนยึด Benefit(ประโยชน์) Conversation (การปฏิสันถาร) และ



Training คนถ้า 10 ปี ไม่ติดตามนวัตกรรมจะหลุดโลก

- ต้องทำให้พนักงานบริษัทเข้าใจ Mission Vision และ Strategy ของบริษัท

- Strategy ของบริษัทเน้นผลประกอบการ ระบบงาน และความเป็นอยู่ของพนักงานคือ GBEST :



Growth, Brand, Efficiency, System และ Training

6.13 คุณพรศิริ โรจน์เมธา เป็นผู้บริหารสตรีเป็นประธานกลุ่มเจ้าหน้าที่บริหารลีโอ เบอร์เนทท์



ซึ่งเป็นบริษัททำโฆษณาระหว่างประเทศ คุณพรศิริ โรจน์เมธา จบการศึกษาด้านการศึกษา แต่ทำงานด้านการศึกษาเพียง 1 ปี

- Culture ของบริษัทคือทำให้ดีที่สุด : หากไขว่คว้ามือจะไม่เปื้อนโคลน

- มีจุดหมายชัดเจนทุกๆปี

- การทำงานต้องให้รางวัลคนทำดี ทุกปีจะมีการจัดงาน Dream เป็น Breakfast ให้รางวัลคนทำดี

- ถ้าทำงานแล้วไม่ดี ต้องรู้ว่าไม่ดีตรงไหน และจะทำจุดใดให้ดีกว่าเดิม

- 2% ของกำไรใช้ใน Training และดูงาน







6.14 คุณโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย เป็นบุตรคนโตของตระกูลโชคชัย ซึ่งเป็นตระกูลเชื้อสายจีน จึงจำเป็นจะต้องดำเนินธุรกิจของตระกูลต่อไป ทั้งๆที่ไม่ได้รักธุรกิจนี้ และประสบความสำเร็จในการทำให้ธุรกิจเดิมเป็นธุรกิจที่ตนรัก

- โดยการไม่มองด้านตรงของธุรกิจดั้งเดิม สิ่งที่เก่าสุด เช่น ฟาร์มโค อาจจะเป็นสิ่งใหม่สุด

- จะทำอะไรที่จะเสริมธุรกิจดั้งเดิม

- มองให้ได้ธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์แต่ต้องมีจริยธรรมเสมอ

- พื้นฐานและจุดยืนของธุรกิจสำคัญที่สุด

- ต้องรู้ความสามารถของตัวเอง

- อย่าพยายามเปรียบเทียบตัวเองหรือธุรกิจตัวเองกับคนอื่น แต่ต้องมีBench Marking เพราะจะทำให้รู้



สึกด้อย (จะขาดความทะเยอทะยาน) เพราะคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ไหวพริบสอนกันไม่ได้

- ฟาร์มโชคชัยต้องการพนักงานที่คิดแบบเด็ก แต่ทำงานแบบผู้ใหญ่ : ฝันก่อนแล้วทำจริงด้วยการวางแผน

- การสัมมนาของฟาร์มโชคชัยเพื่อ Confirm ว่าคิดถูกหรือไม่ ไม่ใช่ copy

- การทำธุรกิจต้องออม Cash Flow (กระแสเงินสด) สำคัญไม่แพ้ Asset (สินทรัพย์)

• การท่องเที่ยวสู่ธรรมชาติจะเป็น Future of Future ของธุรกิจ

• ทำธุรกิจในการ Support ไม่ใช่ธุรกิจการแข่งขัน



6.15 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ Talk Show : Reinventing Leadership For the Future (สัมพันธ์ใหม่ในความเป็นผู้นำเพื่ออนาคต)

1. ผู้นำจะต้องมีข้อมูล (เตรียมข้อมูลให้พร้อมใช้งาน) มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ มี Wisdom (มีความรอบรู้ รอบคอบ สุขุม) จึงจะแก้ปัญหาหรือพัฒนางานนั้นๆได้ และจะขับเคลื่อนงานได้ตลอดไป หากมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้

1.1 Challenge : ท้าทาย / คึกคัก

1.2 Insight : มี Vision ปลุก Vision

1.3 Enduring : ทำให้องค์กรยั่งยืน ด้วยการ Coaching, Training คนเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร

1.4 Modeling : ทำตนเป็นแบบอย่าง / แบบฉบับ

1.5 Encourage : ปลุกคน / สนับสนุน / ช่วยเหลือให้คนทำงาน

2. สิ่งที่ผู้นำไทยต้องมี

2.1 มีวินัย : ตรงเวลา

2.2 โปร่งใส : ตรงไปตรงมา เพื่อสร้างสัมพันธ์ใหม่ในความเป็นผู้นำเพื่ออนาคต

3. ผู้นำไทยในอนาคตต้องมีอย่างน้อย 3 ภาษา

3.1 ภาษาไทย เพื่อแสดงเอกลักษณ์ / เอกราช / ความภาคภูมิใจ

3.2 ภาษาต่างประเทศ ที่เป็นสากลเพื่อสะดวกในการเสาะแสวงหาความรู้

3.3 ภาษาคอมพิวเตอร์ เพราะจำเป็นกับการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต

เลิกงานเวลา 21.30 น.

4. จุดเด่นของการบริหารงานของ CEO คือ รวดเร็ว/ ฉับไว/ คึกคัก และจะ Drive Result ได้ดีหาก

- มี Board ที่ดีและเข้มแข็ง

- มี Strategy ที่สอดคล้องกับนโยบาย Board

- มี Value ขององค์กรที่สอดคล้องกับงาน/ ธุรกิจ



6.6 ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การบริหารแบบบูรณาการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ว่า

1. ปัจจัยความสามารถในการแข่งขันขององค์กร เกิดจากผู้บริหารต้องสร้างหรือใช้ปัจจัยต่อไปนี้เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จสร้างโอกาสมากกว่าจะรอโอกาสมาถึงก่อนจึงจะลงมือทำ รวมทั้งต้องขจัด ความเหลื่อมล้ำหรือ ความไม่เท่าเทียมความแข็งแกร่งเชิงยุทธศาสตร์ ทำงานอย่างมีชั้นเชิงวางแผนล่วงหน้า มีการลง ทุนทางปัญญา มีงานวิจัย ใช้ นักวิทยาศาสตร์นักวิชาการมาช่วยค้นคิด ความสามารถในการบริหารจัดการ ต้องบริหารอย่างมืออาชีพ

2. บุคลิกนักบริหาร

- เรียนรู้สิ่งใหม่/ รับฟัง/ อ่านตำราใหม่ ๆ ผู้บริหารที่อ่านมากจะรู้มาก ก้าวทันโลกวิทยาการ

- รู้จักเลือกใช้คน ใช้คนให้เหมาะกับความรู้ความสามารถ

- มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ช่วยป้องกันการตัดสินใจที่อาจผิดพลาด

- สื่อสารให้ทีมงานเข้าใจได้ กระจายข้อมูลที่จำเป็นให้ทุกคนรับรู้อย่างทั่งถึงและรวดเร็ว

- สร้างเศรษฐกิจชุมชนไปสู่การแข่งขันตลาดโลกจากการกสร้างเศรษฐกิจในครัวเรือนให้พอมีพอ



เพียง ไปสู่การทำมาค้าขายในระดับท้องถิ่นไปจนถึงก้าวเข้าสู่ตลาดระหว่างประเทศ

- ผู้นำต้องมีผู้ตาม ผู้บริหารต้องสามารถทำงานและกำกับควบคุมให้ผู้อื่นทำงานด้วย

- ผู้นำต้องสร้างคน ต้องสร้างผู้บริหารไว้หลายระดับ มีตัวตายตัวแทนหมุนเวียนให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้า



มาแทนเพื่อตัวเองสามารถก้าวให้สูงขึ้น

- ผู้นำต้องคิดให้ทะลุ มองปัญหาไว้ตั้งแต่การป้องกัน การแก้ไข กระบวนการทำงานทุกขั้นตอน

3.ให้พัฒนาคุณภาพของตัวผู้บริหาร ดังที่เต๋า เต็ก เก็ง เคยเขียนไว้ว่า ผู้นำที่คุณภาพต่ำสุด คือ ผู้นำที่ทุกคนเกลียด ผู้นำที่ดีขึ้นมาบ้าง คือ ผู้นำที่ทุกคนกลัว ผู้นำที่ดีมาก คือ ผู้นำที่ทุกคนรัก ผู้นำที่เก่งที่สุด คือ ผู้นำที่ทุกคนทำตามโดยไม่ต้องบอก

6.7 Prof. Neal Thornberry วิทยากรชาวต่างประเทศอีกผู้หนึ่งได้กล่าวถึง ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่ง มี 4 ขั้นตอน เหมือนห้องในบ้านที่กำลังมีการซ่อมแซม

1. ไม่เห็นด้วยไม่ตอบ ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นไม่ มีปฏิกิริยาต่อต้านj

2. ไม่เห็นด้วยและต่อต้าน ไม่พอใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จึงโต้แย้ง

3. อยากเปลี่ยนแต่ไม่รู้จะทำอะไร พร้อมที่จะให้ความร่วมมือแต่ทำอะไรไม่ถูกเพราะขาดข้อมูลผู้ชี้แนะ

4. ทุกคนเข้าใจยอมเปลี่ยนแปลงและร่วมลงมือ ยินดีปรับตัวช่วยกันด้วยความพอใจ ผู้บริหารที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงต้องเข้าใจขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง และรู้ว่าในขณะนี้องค์กรที่ตนเองเป็นผู้นำอยู่ กำลังอยู่ในสภาพใดของกระบวนการ เพื่อจะได้รับมือได้เหมาะสม

6.8 ศาสตราจารย์ดร. ชัยอนันต์ สมุทวนิช นักบริหารและนักคิด ราชบัณฑิตคนสำคัญได้ ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อผู้บริหารจักได้ใช้กลไกการบริหารในระบบปฏิรูปใหม่ได้ดี

1. ระบบราชการใหม่ได้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างใหม่ของระบบราชการไทย เกิดโครงสร้างใหม่ 20 กระทรวง ตั้งแต่ 3 ตุลาคม 2545ทำให้ส่วนราชการไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบราชการไทย

2. ระบบบริหารจัดการที่ปฏิรูปคือ การจัดการสร้างเครือข่ายนโยบายและการบูรณาการ ผู้บริหารต้องเข้าใจว่าการทำงานของส่วนราชการคือการเป็นผู้นำนโยบายสาธารณะที่เกิดจากฝ่ายการเมืองหรือรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน จากหลายนโยบาย ในหน่วยงานหลายระดับและพื้นที่ ผู้บริหารราชการยุคใหม่จึงต้องเข้าใจวิธีทำงานรูปแบบใหม่ที่ต้องสร้างความเชื่อมโยงหลายเรื่องให้ผสมผสานอย่างพอเหมาะ

3. การบริหารองค์กรแบบเครือข่าย

1) องค์กรทำงานในหลายระดับตั้งแต่ ระดับโลก ภูมิภาค/ อนุภูมิภาค ชาติ/ จังหวัด ไปจนถึงระดับท้องถิ่นหรือ ชุมชน

2) เครือข่ายทำงานมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบปกติ เครือข่ายทางสังคม นวัตกรรม ความรู้ กลยุทธ์ การเรียนรู้ การเมือง และเครือข่ายจิตวิญญาณ

4. ผู้บริหารแบบบูรณาการ ได้แก่ คือการรู้จักผสมระหว่างเทคนิคต่างๆตั้งแต่ การมีบทบาทเป็นผู้นำ การระดมความคิดจากภาคี การพัฒนาทุนทางสังคม และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่าย

6.9 ดร. วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นถึง การปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐ

1. การปฏิรูประบบราชการไทย มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่1การปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐ ขั้นตอนที่2 การปฏิรูปวิธีปฏิบัติราชการ และขั้นตอนที่3การปฏิรูปการจัดการทรัพยากร ซึ่งในปี พศ.2545ถึง2546ได้เข้าสู่ขั้นตอนที่1 และจะได้ขยายผลในขั้นตอนต่อไปในปีพศ.2547

2. การปฏิรูป โครงสร้างภาครัฐ โครงสร้างใหม่ของระบบราชการไทยประกอบด้วยโครงสร้าง 4 ลักษณะ ได้แก่1) กระทรวง กลุ่มภารกิจ กรม2) องค์การมหาชน3) รัฐวิสาหกิจ และ4) หน่วยพิเศษ องค์กรอิสระ

3. วิธีปฏิบัติราชการ แนวทางการทำงานในระบบราชการยุคใหม่ประกอบด้วย

1) การพัฒนาผู้นำ/ การบริหารการเปลี่ยนแปลง คือ ต้องเริ่มจากตัวผู้บริหารทุกระดับต้องพัฒนาตนเองให้เข้าใจการเป็นผู้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีกระบวนการและมีชั้นเชิง โดยใช้

-การกำหนด เป้าหมายขององค์กรและการเปลี่ยนแปลง - มีกุศโลบายมีขั้นตอนของการทำงานที่ดี

-สร้างความคาดหมายความคาดหวังเพื่อให้ทุกคนเกิดกำลังใจ - กำหนดความรับผิดชอบกระจายภาระหน้าที่ซึ่งคำนึงถึงผลที่จะเกิดติดตามมา - กระจายอำนาจ แบ่งงานไปช่วยกันดำเนินการ - จัดสรรงบประมาณที่ประหยัดและเกิดประโยชน์คุ้มค่า

2) การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การบริหารราชการไทยต้องมีหลักการ - คำนึงถึง ประโยชน์สุขแก่ประชาชน - มุ่งผลสัมฤทธิ์ ทำงานมุ่งสู่ผลสำเร็จตามเป้าหมาย - ประเมินผลให้คุณและโทษ - ปรับปรุงประสิทธิภาพหน่วยงาน - บริการการให้สะดวกและเชื้อเชิญ - มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า – ลดขั้นตอนเวลาที่ยาว/ยุ่ง

4. การจัดการทรัพยากร

1)การบริหารงานบุคคล จะไม่เพิ่มอัตรากำลัง จัดระบบบุคลากรพิเศษได้แก่การกำหนดระบบการจ้างงานในตำแหน่งพนักงานราชการ และการปรับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

2)การบริหารจัดการทรัพย์สิน จะใช้มาตรการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน การปรับปรุงสถานที่ทำงานของหน่วยราชการให้เป็นศูนย์ราชการ และปรับวิธีจัดซื้อจัดจ้างรูปแบบใหม่

3)การบริหารจัดการงบประมาณ ปรับปรุงระบบให้เริ่มจากการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ โดยมีเป้าหมายและยุทธศาสตร์ และเปลี่ยนแปลงวิธีการงบประมาณใหม่ตามระเบียบบริหารงบประมาณใหม่ฉบับปีพศ.2546

4) การปรับปรุงงานด้านกฏหมาย ให้คำนึงถึงสถานะทางกฎหมายที่ต้องใช้ในการบริหารราชการ โดยต้องจัดให้ มีแผนนิติบัญญัติ และปรับกฎหมายให้ทันสมัย เนื่องจากมีกฎหมายค้างการพิจารณาหลายฉบับ และต้องร่างกฎหมายใหม่ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

6.10 นายธนินทร์ เจียรวนนท์ นักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จสูงจากการบริหารบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้เล่าประสพการณ์ในการทำงานไว้ดังนี้

1. การบริหารแบบครอบครัวซึ่งเป็นการบริหารงานธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้น ในปัจจุบันก้าวไม่ทันกับการแข่งขันในโลกยุคใหม่ การบริหารยุคนี้ต้องใช้คนเก่งมาช่วย ดังนั้นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์จึงใช้ยุทธศาสตร์ "คนเก่งของโลกเป็นของ ซี.พี."

2. ตลาดยุคใหม่เน้นธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและการบริการ อาชีพชั้นแนวหน้าที่เป็นผลเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ได้แก่ อาชีพทางด้านกฎหมาย การเงิน สุขภาพผู้สูงอายุ ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจการบรรจุภัณฑ์

3. การบริหารจัดการต้องสร้างเครือข่ายการขาย เช่น การซื้อขายผ่าน e-commerce การบริการขนส่งที่สะดวก และต้องวิจัยเพื่อพัฒนาให้ได้สินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการ

4. ผู้บริหารที่ดี ต้องมีคุณลักษณะดังนี้ - มีภาวะผู้นำ - รู้จักใช้คนเก่ง คือ ให้อำนาจ ให้เกียรติ ค่าตอบแทนที่เหมาะสม - ทำงานรวดเร็ว - ลดขั้นตอนมิให้ซับซ้อนยุ่งยาก - หมุนเวียนผู้บริหารทุก 4-8 ปี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรียนรู้งานลักษณะอื่น

6.11 นายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานบริษัทในเครือของธุรกิจกลุ่มชินคอร์ป ได้เปรียบเทียบผู้บริหารในระบบราชการกับระบบธุรกิจมีความแตกต่างที่ผู้บริหารราชการ สามารถนำไปพัฒนาตนเอง ดังนี้

1.ผู้บริหาร เป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงต้องปรับปรุงตนเองให้มีศักยภาพที่เหมาะสม

1.1 วิสัยทัศน์ที่ดี คือ ยืดหยุ่น ตรงกับภารกิจหลัก มุ่งเพื่ออนาคต และท้าทายคนในองค์กร

1.2 ภารกิจ สนองต่อการนำวิสัยทัศน์สู่เป้าหมาย

1.3 ยุทธศาสตร์ รัฐกับธุรกิจแตกต่างกัน

1.4. การบริหารจัดการมี 4 ขั้นตอน 1) กำหนดทิศทาง/ วิสัยทัศน์ 2) กำหนดตัวชี้วัด

3) มีแผนปฏิบัติงานและแผนการเงิน 4) มีการประเมินผลตามข้อตกลงร่วมกัน

1.5. การบริหารจัดการที่ดีใช้ทฤษฎี 7's Model - Structure (โครงสร้าง)



- Shared Vision (วิสัยทัศน์) - Strategy (มียุทธศาสตร์)

- Styles (ลีลาเฉพาะ) - System (ระบบ)

- Staff (ทีม) - Skills (ทักษะ)

1.6. งานของผู้บริหาร

- เป็นทั้ง 5 อย่างในจังหวะ/ เวลาที่เหมาะสม ได้แก่ นายผู้จัดการ ผู้ควบคุม ผู้นำ และ เถ้าแก่

- แก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หน้าที่ของผู้บริหารคือการแก้ปัญหา

- ชั่งน้ำหนักระหว่างของหรือกระบวนการสองสิ่งเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด เช่นการรู้จัก



เลือกระหว่าง - นักคิดกับนักทำ - ส่วนกลางกับท้องถิ่น - นามธรรมกับรูปธรรม

- ปริมาณกับคุณภาพ - โอกาสกับความเสี่ยง



- ศาสตร์กับศิลป์ - กระบวนการกับผลงาน

1.7. สิ่งต้องระวังของผู้บริหาร - คิดว่าตนเองเก่งแล้วไม่ต้องพัฒนา



- ยิ่งผลัก ปฏิกิริยาโต้กลับจะยิ่งแรงและเร็ว



- บางคนกลัวความล้มเหลวจนเกินพอดี











6.12 คุณทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์เปเรชั่น จำกัด เป็นบุตร คนสุดท้อง ( คนที่ 10 : ทศ ) ของตระกูลจิราธิวัฒน์ บริหารงานบริษัทย่อย 9 บริษัท รวมทั้งห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล และบิ๊กซี พนักงาน 28,000 คน รายได้ 40,000 ล้านบาทต่อปี

- ชมชอบวิธีการทำงานของนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร คือ Stepแรก ดึงคนส่วนมากให้มีฐานะ ดีขึ้น และStepต่อมา ดึงเพื่อนบ้านขึ้น

- การทำงานที่สำคัญที่สุดคือทำให้ดีที่สุดและขยายโอกาสให้ได้รับผลประกอบการโตขึ้น 2 เท่าของ



GDP

- หลักการทำงาน : CEO ต้องทำให้บริษัทโตต่อเนื่องมองไป 3 ปี 5ปีข้างหน้าให้คนภูมิใจในบริษัท

- เป้าหมายชัดเจนและเดินสู่เป้าหมาย

- กลยุทธ์ Aggressive : เร็วและรุก

- ปัญหาเป็นเพียงสิ่งท้าทาย (ปัญหาทุกอย่างแก้ได้หมด) ถ้าแก้ไม่ได้ถามเพื่อน

- ข้อมูลไม่มีถูก 100% การตัดสินใจไม่จำเป็นต้องถูก 100% ที่สำคัญที่สุดคือต้องพัฒนาไปให้ต่อเนื่อง

- คนถือว่าเป็นMassที่สำคัญ การบริหารคนยึด Benefit(ประโยชน์) Conversation (การปฏิสันถาร) และ



Training คนถ้า 10 ปี ไม่ติดตามนวัตกรรมจะหลุดโลก

- ต้องทำให้พนักงานบริษัทเข้าใจ Mission Vision และ Strategy ของบริษัท

- Strategy ของบริษัทเน้นผลประกอบการ ระบบงาน และความเป็นอยู่ของพนักงานคือ GBEST :



Growth, Brand, Efficiency, System และ Training

6.13 คุณพรศิริ โรจน์เมธา เป็นผู้บริหารสตรีเป็นประธานกลุ่มเจ้าหน้าที่บริหารลีโอ เบอร์เนทท์



ซึ่งเป็นบริษัททำโฆษณาระหว่างประเทศ คุณพรศิริ โรจน์เมธา จบการศึกษาด้านการศึกษา แต่ทำงานด้านการศึกษาเพียง 1 ปี

- Culture ของบริษัทคือทำให้ดีที่สุด : หากไขว่คว้ามือจะไม่เปื้อนโคลน

- มีจุดหมายชัดเจนทุกๆปี

- การทำงานต้องให้รางวัลคนทำดี ทุกปีจะมีการจัดงาน Dream เป็น Breakfast ให้รางวัลคนทำดี

- ถ้าทำงานแล้วไม่ดี ต้องรู้ว่าไม่ดีตรงไหน และจะทำจุดใดให้ดีกว่าเดิม

- 2% ของกำไรใช้ใน Training และดูงาน







6.14 คุณโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย เป็นบุตรคนโตของตระกูลโชคชัย ซึ่งเป็นตระกูลเชื้อสายจีน จึงจำเป็นจะต้องดำเนินธุรกิจของตระกูลต่อไป ทั้งๆที่ไม่ได้รักธุรกิจนี้ และประสบความสำเร็จในการทำให้ธุรกิจเดิมเป็นธุรกิจที่ตนรัก

- โดยการไม่มองด้านตรงของธุรกิจดั้งเดิม สิ่งที่เก่าสุด เช่น ฟาร์มโค อาจจะเป็นสิ่งใหม่สุด

- จะทำอะไรที่จะเสริมธุรกิจดั้งเดิม

- มองให้ได้ธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์แต่ต้องมีจริยธรรมเสมอ

- พื้นฐานและจุดยืนของธุรกิจสำคัญที่สุด

- ต้องรู้ความสามารถของตัวเอง

- อย่าพยายามเปรียบเทียบตัวเองหรือธุรกิจตัวเองกับคนอื่น แต่ต้องมีBench Marking เพราะจะทำให้รู้



สึกด้อย (จะขาดความทะเยอทะยาน) เพราะคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ไหวพริบสอนกันไม่ได้

- ฟาร์มโชคชัยต้องการพนักงานที่คิดแบบเด็ก แต่ทำงานแบบผู้ใหญ่ : ฝันก่อนแล้วทำจริงด้วยการวางแผน

- การสัมมนาของฟาร์มโชคชัยเพื่อ Confirm ว่าคิดถูกหรือไม่ ไม่ใช่ copy

- การทำธุรกิจต้องออม Cash Flow (กระแสเงินสด) สำคัญไม่แพ้ Asset (สินทรัพย์)

• การท่องเที่ยวสู่ธรรมชาติจะเป็น Future of Future ของธุรกิจ

• ทำธุรกิจในการ Support ไม่ใช่ธุรกิจการแข่งขัน



6.15 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ Talk Show : Reinventing Leadership For the Future (สัมพันธ์ใหม่ในความเป็นผู้นำเพื่ออนาคต)

1. ผู้นำจะต้องมีข้อมูล (เตรียมข้อมูลให้พร้อมใช้งาน) มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ มี Wisdom (มีความรอบรู้ รอบคอบ สุขุม) จึงจะแก้ปัญหาหรือพัฒนางานนั้นๆได้ และจะขับเคลื่อนงานได้ตลอดไป หากมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้

1.1 Challenge : ท้าทาย / คึกคัก

1.2 Insight : มี Vision ปลุก Vision

1.3 Enduring : ทำให้องค์กรยั่งยืน ด้วยการ Coaching, Training คนเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร

1.4 Modeling : ทำตนเป็นแบบอย่าง / แบบฉบับ

1.5 Encourage : ปลุกคน / สนับสนุน / ช่วยเหลือให้คนทำงาน

2. สิ่งที่ผู้นำไทยต้องมี

2.1 มีวินัย : ตรงเวลา

2.2 โปร่งใส : ตรงไปตรงมา เพื่อสร้างสัมพันธ์ใหม่ในความเป็นผู้นำเพื่ออนาคต

3. ผู้นำไทยในอนาคตต้องมีอย่างน้อย 3 ภาษา

3.1 ภาษาไทย เพื่อแสดงเอกลักษณ์ / เอกราช / ความภาคภูมิใจ

3.2 ภาษาต่างประเทศ ที่เป็นสากลเพื่อสะดวกในการเสาะแสวงหาความรู้

3.3 ภาษาคอมพิวเตอร์ เพราะจำเป็นกับการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต

เลิกงานเวลา 21.30 น.

4. จุดเด่นของการบริหารงานของ CEO คือ รวดเร็ว/ ฉับไว/ คึกคัก และจะ Drive Result ได้ดีหาก

- มี Board ที่ดีและเข้มแข็ง

- มี Strategy ที่สอดคล้องกับนโยบาย Board

- มี Value ขององค์กรที่สอดคล้องกับงาน/ ธุรกิจ

ที่ 7:00

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น